คณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลาง
โครงการบูรณาการความร่วมมือเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และความคิดเห็นต่อการขับเคลื่อนการดําเนินงานของ คณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลาง
วันศุกร์ที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๖๘
เวลา ๐๙.๐๐ น. เป็นต้นไป
ณ โรงแรมเพชรรัตน์ อําเภอเมืองร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด
เอกสารบรรยายสรุป: การประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลาง
บทสรุปสำหรับผู้บริหาร
เอกสารฉบับนี้สังเคราะห์ประเด็นสำคัญจากการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลาง (ร้อยแก่นสารสินธุ์) ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อแลกเปลี่ยนแนวคิดและกระตุ้นการพัฒนาเศรษฐกิจในกลุ่มจังหวัด โดยมุ่งเน้นการถอดบทเรียนจาก "ร้อยเอ็ดโมเดล" ภายใต้วิสัยทัศน์ "ร้อยเอ็ด เมืองแห่งความสุข"
ประเด็นสำคัญที่ได้จากการประชุมสรุปได้ดังนี้:
1. การขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยสองเสาหลัก: จังหวัดร้อยเอ็ดใช้ยุทธศาสตร์สองเสาหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ คือ การท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ และ เกษตรกรรมมูลค่าสูง การท่องเที่ยวประสบความสำเร็จอย่างสูงจากการสร้างแลนด์มาร์กใหม่คือ หอโหวด 101 และกิจกรรมเสริมอย่าง Zipline ซึ่งสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวและสร้างรายได้ให้จังหวัดได้อย่างเป็นรูปธรรม ในขณะที่ภาคเกษตรกรรมยังคงเป็นรากฐานสำคัญ โดยมีข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาเป็นผลิตภัณฑ์เรือธง แต่ยังเผชิญความท้าทายด้านการตลาดและการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่า
2. ความสำคัญของความร่วมมือรัฐ-เอกชน: มีการเน้นย้ำตลอดการประชุมว่าความสำเร็จในการพัฒนาเกิดขึ้นได้จากความร่วมมือที่แข็งแกร่งระหว่างภาครัฐและเอกชน ภาคเอกชนถูกมองว่ามีความคล่องตัวและคิดนอกกรอบได้ดีกว่า ในขณะที่ภาครัฐมีบทบาทในการสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐาน อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดด้านกฎระเบียบและกลไกงบประมาณของภาครัฐยังเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้โครงการดีๆ หลายโครงการไม่สามารถเกิดขึ้นได้ จึงมีข้อเสนอให้ภาครัฐเพิ่มความยืดหยุ่นและเปิดช่องให้เอกชนสามารถเข้าถึงงบประมาณเพื่อการพัฒนาได้โดยตรง
3. โครงสร้างพื้นฐานเป็นปัจจัยแห่งอนาคต: โครงการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ที่สำคัญ เช่น การขยายรันเวย์สนามบินร้อยเอ็ดเพื่อรองรับเที่ยวบินนานาชาติ และโครงการรถไฟทางคู่ที่ผ่านกลุ่มจังหวัด ถูกมองว่าเป็นโอกาสสำคัญที่จะยกระดับศักยภาพทางเศรษฐกิจของทั้งภูมิภาค โดยภาคเอกชนได้เริ่มเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนี้แล้ว
4. ความท้าทายที่ต้องเผชิญร่วมกัน: กลุ่มจังหวัดยังคงเผชิญความท้าทายหลายมิติ ทั้งในด้านเศรษฐกิจ เช่น ความผันผวนของราคาสินค้าเกษตร การเข้าถึงแหล่งทุนของ SME และการแข่งขันเพื่อดึงดูดการลงทุน และในด้านสังคม เช่น ปัญหายาเสพติดและการขาดแคลนแรงงานฝีมือ ซึ่งต้องอาศัยการแก้ไขปัญหาอย่างบูรณาการ
5. ทิศทางกลุ่มจังหวัดสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน: การประชุมสรุปทิศทางในอนาคตว่ากลุ่มจังหวัดต้องเปลี่ยนจากการทำงานแบบต่างคนต่างทำ มาสู่การ "มุ่งเป้า โฟกัส และทำต่อเนื่อง" โดยหาจุดเด่นร่วมกันและแบ่งบทบาทของแต่ละจังหวัดให้ชัดเจน เช่น การสร้างเส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมโยง (ไดโนเสาร์, Wellness) การพัฒนาคลัสเตอร์เกษตรมูลค่าสูง และการใช้ประโยชน์จากที่ตั้งทางภูมิศาสตร์เพื่อเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์
--------------------------------------------------------------------------------
ภาพรวมและวัตถุประสงค์การประชุม
การประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลาง ครั้งที่ 5/2568 (หรือครั้งที่ 6 ประจำปีงบประมาณ 2568) จัดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อศึกษาและแลกเปลี่ยนความรู้ แนวคิด และข้อมูลในการพัฒนากระตุ้นเศรษฐกิจของกลุ่มจังหวัด ซึ่งประกอบด้วยจังหวัดร้อยเอ็ด ขอนแก่น มหาสารคาม และกาฬสินธุ์ (ร้อยแก่นสารสินธุ์) การประชุมมีผู้เข้าร่วมกว่า 120 คนจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน ประชาสังคม และมีการถ่ายทอดสดผ่านช่องทางออนไลน์
กิจกรรมสำคัญในการประชุม:
* ปาฐกถาพิเศษ: หัวข้อ "การขับเคลื่อนการพัฒนาจังหวัดเพื่อมุ่งสู่การเป็นร้อยเอ็ด เมืองแห่งความสุข"
* การสัมมนา: หัวข้อ "ร้อยเอ็ด เมืองแห่งความสุข การท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ และการเกษตรกรรมอย่างยั่งยืน สู่การพัฒนาในอนาคตของกลุ่มจังหวัดฯ"
* การประชุม กรอ. กลุ่มจังหวัด: เพื่อหารือทิศทางการดำเนินงานและแผนงบประมาณ
* การศึกษาดูงาน: ณ หอโหวด 101 จังหวัดร้อยเอ็ด เพื่อศึกษาปัจจัยความสำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจเขตเมือง
ประเด็นหลัก: "ร้อยเอ็ด เมืองแห่งความสุข" ต้นแบบการพัฒนา
วิสัยทัศน์ "ร้อยเอ็ด เมืองแห่งความสุข" ถูกนำเสนอในฐานะกรอบแนวคิดหลักในการพัฒนาจังหวัด โดยเป็นคำที่จดจำง่ายและครอบคลุมมิติการพัฒนาในหลายด้าน ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคง ซึ่งสอดคล้องกับ 5 ประเด็นยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัด ดังนี้:
1. เกษตรมูลค่าสูง: เน้นการเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าเกษตรหลัก โดยเฉพาะข้าวหอมมะลิ
2. การท่องเที่ยวสร้างสรรค์: พัฒนาแหล่งท่องเที่ยวและบริการเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวและสร้างรายได้
3. การพัฒนาสังคม: ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน เช่น โครงการอาหารกลางวันในโรงเรียน และการพัฒนาฝีมือแรงงาน
4. ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม: มุ่งเน้นการจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน เช่น โครงการบ่อบาดาลพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อการเกษตร
5. ความมั่นคง: การบริหารจัดการเพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน และการแก้ไขปัญหายาเสพติด
การวิเคราะห์ตัวขับเคลื่อนและยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจ
การเสวนาได้ฉายภาพการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของจังหวัดร้อยเอ็ดซึ่งมีพื้นฐานจากสองเสาหลักที่สำคัญ
เสาหลักที่ 1: การท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์และภาคบริการ
ภาคบริการเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลักของจังหวัดร้อยเอ็ด คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 80% ของ GPP จังหวัด โดยมีกลยุทธ์ที่น่าสนใจดังนี้:
* การสร้างแลนด์มาร์กใหม่ (New Landmark): หอโหวด 101 ซึ่งเป็นหอชมเมืองรูปทรงโหวด เครื่องดนตรีประจำจังหวัด กลายเป็นแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง
* สถิติ: ตั้งแต่เปิดทำการ มีนักท่องเที่ยวเข้าชมแล้วกว่า 2 ล้านคน สร้างรายได้ค่าบัตรกว่า 82 ล้านบาท
* การสร้างกิจกรรมดึงดูด (Activity-based Attraction): การติดตั้ง Zipline โรยตัวจากชั้น 34 ของหอโหวด ระยะทาง 350 เมตร ซึ่งได้รับการสนับสนุนงบประมาณจาก อบจ.ร้อยเอ็ด ถือเป็นนวัตกรรมที่สร้างกระแสและความตื่นเต้น ทำให้นักท่องเที่ยวอยากกลับมาเยือน
* สถิติ (หลังเปิดตัว 24 ส.ค.): มีผู้เล่นแล้วกว่า 4,000 คน สร้างรายได้ประมาณ 700,000 บาท
* การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการท่องเที่ยว: เทศบาลเมืองร้อยเอ็ดมีแผนโครงการต่อเนื่องเพื่อยกระดับเมือง เช่น:
* การสร้างถนนและทางเท้ารอบคูเมือง เพื่อเปิดพื้นที่หน้าวัดบูรพาภิราม
* โครงการถนนวัฒนธรรม 5 แยกสายน้ำผึ้ง
* การพัฒนาพื้นที่สระแก้วให้เป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจ
* โครงการในอนาคต:
* พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำเค็ม (Saltwater Aquarium): โครงการก่อสร้างส่วนต่อขยายสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำ คาดว่าจะเริ่มในปี 2569 ถือเป็นแห่งแรกในภาคอีสาน
* เที่ยวเมืองทิพย์แบบสมจริง 360 องศา: โครงการใช้เทคโนโลยี AI เพื่อสร้างประสบการณ์ท่องเที่ยวเสมือนจริงในสถานที่ต่างๆ ทั่วจังหวัดร้อยเอ็ด เสนอของบประมาณปี 2570
เสาหลักที่ 2: เกษตรมูลค่าสูง
แม้ภาคเกษตรจะมีสัดส่วน GPP น้อยกว่าภาคบริการ แต่ยังคงเป็นรากฐานสำคัญของประชากรส่วนใหญ่ในจังหวัด โดยมีแนวทางการพัฒนาดังนี้:
* ผลิตภัณฑ์เรือธง: ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลา ซึ่งมีชื่อเสียงระดับโลก เป็นจุดแข็งที่สำคัญที่สุด
* การเพิ่มมูลค่า (Value Addition): มีความพยายามในการนำข้าวหอมมะลิไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น แป้ง ขนม และเครื่องสำอาง เพื่อเพิ่มมูลค่า
* กรณีศึกษา: กลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านโพนฮาด: เป็นตัวอย่างของความสำเร็จในการทำเกษตรแบบพึ่งพาตนเอง
* จุดเด่น: ทำการเกษตรโดยไม่ใช้สารเคมี, ได้รับมาตรฐานเกษตรอินทรีย์และ GAP
* ปัจจัยความสำเร็จ: เกิดจากความร่วมมือของคนในชุมชน, การทำงานอย่างต่อเนื่องของหน่วยงานราชการ และการเปิดใจเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ("ไม่เป็นน้ำเต็มแก้ว")
* ความท้าทาย:
* การตลาด: เกษตรกรยังขาดความชำนาญในการหาช่องทางการตลาด โดยเฉพาะช่องทางออนไลน์
* ทักษะทางธุรกิจ: กลุ่มวิสาหกิจชุมชนขาดทักษะด้านการบริหารจัดการและเอกสารทางบัญชี ทำให้การพัฒนาเป็นไปได้ช้า
* ราคาสินค้าเกษตร: ความผันผวนของราคาเป็นปัญหาหลักที่กระทบรายได้ของเกษตรกรโดยตรง
บทบาทสำคัญของความร่วมมือภาครัฐและเอกชน
ประเด็นเรื่องความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนเป็นหัวใจสำคัญที่ถูกกล่าวถึงโดยผู้ร่วมเสวนาทุกฝ่าย
นายชูศักดิ์ ราชบุรี (รองผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด) ได้ให้ความเห็นไว้อย่างน่าสนใจว่า: "เวลาภาครัฐคิด...มันมีกรอบของข้อระเบียบกฎหมายเอาไว้...แต่ภาคเอกชนเนี่ย เขาคิดได้แล้วก็ทำได้...มันก็จะสำคัญอยู่ที่ภาคเอกชนเป็นหลัก" ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการปฏิรูปกลไกการทำงานภาครัฐให้มีความยืดหยุ่นและส่งเสริมการทำงานของเอกชนมากขึ้น
โครงสร้างพื้นฐานและการเชื่อมโยงในฐานะปัจจัยเอื้ออำนวย
การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานถูกมองว่าเป็นกุญแจสำคัญในการปลดล็อกศักยภาพของกลุ่มจังหวัดในอนาคต
* การคมนาคมทางอากาศ: โครงการขยายรันเวย์สนามบินร้อยเอ็ดจาก 2,100 เมตร เป็น 2,990 เมตร เพื่อรองรับเครื่องบินขนาดใหญ่และเที่ยวบินระหว่างประเทศ
* การคมนาคมทางราง: โครงการรถไฟทางคู่ (สายบ้านไผ่-มุกดาหาร-นครพนม) ซึ่งจะผ่านพื้นที่กลุ่มจังหวัด จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญด้านโลจิสติกส์และการขนส่งสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรม
* การคมนาคมทางถนน: จังหวัดร้อยเอ็ดได้พัฒนาถนน 4 เลนเชื่อมต่อไปยังอำเภอต่างๆ เกือบครบทุกเส้นทาง ทำให้เป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยงไปยังจังหวัดอื่นในภาคอีสานได้สะดวก
ความท้าทายและทิศทางในอนาคตสำหรับกลุ่มจังหวัด
การประชุมได้สรุปความท้าทายและข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อการพัฒนาในอนาคต ทั้งในระดับจังหวัดและกลุ่มจังหวัด
ความท้าทายหลัก:
1. ด้านเศรษฐกิจ: การแข่งขันดึงดูดการลงทุน, การเข้าถึงแหล่งทุนของ SME, การพัฒนาสินค้าท้องถิ่นให้ตรงตามความต้องการของตลาด
2. ด้านแรงงาน: การย้ายถิ่นฐานของแรงงาน ทำให้เกิดการขาดแคลนแรงงานฝีมือในภาคการผลิตและบริการ
3. ด้านสังคม: ปัญหายาเสพติดที่ยังคงฝังรากลึกในชุมชน และความยากในการสร้างอาชีพให้ผู้ที่ผ่านการบำบัด
ข้อเสนอแนะและทิศทางในอนาคต:
* เปลี่ยนกระบวนทัศน์การทำงาน: กลุ่มจังหวัดต้องเลิกทำงานแบบ "ต่างคนต่างทำ ทำคนละเรื่อง ทำไม่ต่อเนื่อง" และหันมาทำงานแบบ "มุ่งเป้า โฟกัส และทำต่อเนื่อง"
* สร้างความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์: แต่ละจังหวัดในกลุ่มต้องหาจุดเด่นและแบ่งบทบาทกันทำ เพื่อสร้างพลังร่วม (Synergy) เช่น:
* การท่องเที่ยว: สร้างเส้นทางท่องเที่ยวไดโนเสาร์เชื่อมโยง (ร้อยเอ็ด-กาฬสินธุ์-ขอนแก่น)
* เกษตรและอาหาร: พัฒนาคลัสเตอร์เกษตรอินทรีย์และอาหารปลอดภัย
* สุขภาพ: ยกระดับสู่การเป็นศูนย์กลาง Wellness Tourism โดยใช้จุดแข็งของแต่ละจังหวัด
* ภาครัฐต้องเป็นผู้อำนวยความสะดวก: รัฐต้องลดขั้นตอนและกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรค เพื่อทำให้การค้าการลงทุนสะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น
* พัฒนาทักษะแรงงาน: จำเป็นต้องมีการ Upskill และ Reskill แรงงานให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดในยุคดิจิทัล
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น